วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย



กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย





รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 18 ฉบับ อันแสดงให้เห็นถึงความขาดเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
รัฐธรรมนูญไทยระบุว่าประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เขียนว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) กำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ระบบสองสภา แตกต่างจากในอดีตที่ใช้ระบบสภาเดี่ยว รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับกำหนดให้ผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้งแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหลักที่ทำหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญและวินิจฉัยข้อขัดแย้งข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ


ข้อมูลรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับมีดังนี้

ฉบับที่ 1  พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475


มีจำนวน 39 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน
ที่มา : คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

มีจำนวน 68 มาตรา 
ระยะเวลาที่บังคับใช้ 13 ปี 4 เดือน 29 วัน
ที่มา : ของรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนตั้งคณะกรรมการยกร่าง จำนวน 9 คน
 แล้วให้ สภาอนุมัติ


ฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489

มีจำนวน 96 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  1 ปี 5 เดือน 30 วัน
ที่มา : ส.ส.ประเภทที่ 2 เสนอร่างแล้วให้สภาอนุมัติ ( ยุคนี้ ส.ส. มี 2 ประเภท )

ฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ชั่วคราว ) พุทธศักราช 2490 (ฉบับใต้ตุ่ม )

มีจำนวน 98 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน
ที่มา : คณะรัฐประหาร นำโดย จอมพล ผิน ชุณหวัณ ( บิดา พล.อ ชาติชาย ชุณหวัณ )
มี หลวง กาจ เก่งระดมยิง เป็นผู้ร่าง แล้วนำไปซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำ จึงเป็นที่มา ฉบับใต้ตุ่ม 


ฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492

มีจำนวน 188 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  2 ปี 8 เดือน 6 วัน
ที่มา :  สภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 คนยกร่างจัดทำแล้วให้สภาอนุมัติ (สสร.1 )

ฉบับที่ 6 รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475
แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495


มีจำนวน  123 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน
ที่มา :  จอมพล ป. นายกฯ เสนอร่าง ให้สภาอนุมัติ

ฉบับที่ 7ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502

มีจำนวน 20 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 23 วัน
ที่มา : คณะปฏิวัติ นำโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

ฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511

มีจำนวน 183 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 3 ปี 4 เดือน 28 วัน
ที่มา :  สภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 240 คน ยกร่าง และอนุมัติ ( สสร. 2 )

ฉบับที่ 9:ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515

มีจำนวน 23 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  1 ปี 9 เดือน 22 วัน
ที่มา : คณะปฏิวัติ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร

ฉบับที่ 10 :  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517

มีจำนวน 238 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  2 ปี
ที่มา :  คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 24 คน 
( จากสมัชาแห่งชาติ ) ยกร่างแล้วเสนอคณะรัฐมนตรี และสภา


ฉบับที่ 11 : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519

มีจำนวน  29 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 11 เดือน 28 วัน
ที่มา : คณะปฏิวัติ นำโดย พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ประกาศใช้

ฉบับที่ 12 :  ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520

มีจำนวน  32 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 1 ปี 1 เดือน 13 วัน
ที่มา : คณะปฏิวัติ นำโดย พล.ร.อ สงัด ชลออยู่ ทำรัฐประหารซ้ำอีกรอบ

ฉบับที่ 13 :รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521

มีจำนวน 206 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 12 ปี 2 เดือน 1วัน
ที่มา : สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) ตั้งคณะกรรมการยกร่าง และอนุมัติ

ฉบับที่ 14 : ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534

มีจำนวน  33  มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  8 เดือน 8 วัน 
ที่มา : คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ( รสช.) นำโดย พล.อ สุนทร คงสมพงษ์

ฉบับที่ 15 : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534

มีจำนวน  223 มาตรา 
ระยะเวลาบังคับใช้  5 ปี 10 เดือน 2 วัน
ที่มา : สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช. ที่ตั้งโดย รสช.)

ฉบับที่ 16 : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

มีจำนวน 336 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้  8 ปี 10 เดือน 9 วัน
ที่มา :  รัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 15 โดยแก้ไข มาตรา 211 
ให้มี สสร.จำนวน 99 คน
 ยกร่างและให้สภาอนุมัติ ในสมัย นายบรรหาร ศิลปอาชา
เป็นนายกฯ (สสร.3 )


ฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ( ชั่วคราว )
พุทธศักราช 2549


มีจำนวน 39 มาตรา
ระยะเวลาบังคับใช้ 11 เดือน 5 วัน ( บังคับใช้เมื่อ 19 ก.ย 2549 - 24 ส.ค.2550 )


ฉบับที่ 18 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

มีจำนวน 309 มาตรา
บังคับใช้เมื่อ 24 สิงหาคม 2550 ถึง ปัจจุบัน.......
ที่มา สสร.จากการแต่งตั้งของ คมช. จำนวน 100 คน ยกร่าง  และให้สภาอนุมัติ
และให้ประชาชน ลงประชามติ (สสร.4 )

................................................................................................................................................................

*จากจำนวน 18 ฉบับ  เป็นฉบับชั่วคราว ที่ประกาศใช้โดยคณะยึดอำนาจทันที่ รวม 8 ฉบับ 


ฉบับที่ 1,4,7,9,11,12,14,17,

 และ การนิรโทษกรรมตนเองของคณะรัฐประหาร
เดิมทีเดียวไม่มีการบัญญัติบทนิรโทษกรรมตนเองไว้ในรัฐธรรมนูญ
 แม้แต่ คณะราษฎร ก็เสนอเป็นร่างแยกออกมาต่างหาก

บทนิรโทษกรรมตนเองของคณะยึดอำนาจเริ่มนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่

 ฉบับที่ 9 หรือ ฉบับ พ.ศ. 2515 ในมาตรา 21
 ฉบับที่ 11 ในมาตรา 29 
ฉบับที่ 12 ในมาตรา 32 
ฉบับที่ 14 ในมาตรา 32 
ฉบับที่ 17 ในมาตรา 37
 และฉบับที่ 18 ในมาตรา 309




ข้อมูลรัฐธรรมนูญไทย..ถึงปัจจุบันไทยมีรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 18 ฉบับ
มากที่สุดในโลกและยังมีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ




ฉบับที่สั้นที่สุดคือฉบับที่ 7 ปี 2502 

มี 20 มาตรา





ฉบับที่ยาวที่สุดคือ ฉบับที่ 16 ปี 2540 
มี 336 มาตรา 

ฉบับที่ใช้งานสั้้นที่สุด  คือฉบับที่ 1 ปี2475ที่ถูกทำให้เป็นฉบับชั่วคราว
บังคับใช้เพียง 5 เดือน 13 วัน 

ฉบับที่ใช้นานที่สุดคือ  ฉบับที่2ปี2475 ใช้นาน 13ปี4 เดือน 29วัน
รองมาคือฉบับที่13ใช้12ปี2เดือน 1 วัน

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปราสาทเขาพระวิหาร


"ปราสาทเขาพระวิหาร" หรือ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นโบราณสถานที่มีความงดงาม โดดเด่นอยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดน ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 657 เมตร ปราสาทเขาพระวิหารเป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ "ศรีศิขเรศร" เป็น "เพชรยอดมงกุฎ" ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก มีความยาว 800 เมตร ตามแนวเหนือใต้ ส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาวและบันไดสูงถึงยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120 เมตรจากปลายตอนเหนือสุดของปราสาท, 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657 เมตรจากระดับ) 

          ปราสาทเขาพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น และปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ "ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม) แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง "ปราสาท" ด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1" เรื่อยมาจน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ "ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง)  

          ทางเข้าสู่ปราสาทประธานนั้น มีโคปุระ (ซุ้มประตู) คั่นอยู่ 5 ชั้น (โคปุระชั้นที่ 5 จึงเป็นส่วนที่ผู้เข้าชมจะพบเป็นส่วนแรก) โคปุระแต่ละชั้นก่อนถึงลานด้านหน้าจะผ่านบันไดหลายขั้น โคปุระแต่ละชั้นจึงเปลี่ยนระดับความสูงทีละช่วง นอกจากนี้โคปะรุยังบังมิให้ผู้ชมเห็นส่วนถัดไปของปราสาท จนกว่าจะผ่านทะลุแต่ละช่วงไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถแลเห็นโครงสร้างปราสาททั้งหมดจากมุมใดมุมหนึ่งได้ 

          เดิมทีปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในเขตการปกครองของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ (ค.ศ.1899, ร.ศ.-118) และเมื่อ พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จไปยังปราสาทแห่งนี้ และทรงขนานนามว่า "ปราสาทพรหมวิหาร" ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งพระองค์ได้จารึก ร.ศ. และพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า 118 สรรพสิทธิ  

          ต่อมาเมื่อปี 2450 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส (ปกครองเขมรขณะนั้น) อาศัยแสนยานุภาพทางทหารบีบให้รัฐบาลสยาม (ไทย) ยอมเขียนแผนที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ในการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม รัฐบาลสยามก็ยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศษสร้างขึ้นมาแต่โดยดีโดยมิได้ทักท้วง (ซึ่งแต่เดิมถ้าแบ่งตามสันปันน้ำเทือกเขาพนมดงรัก เขาพระวิหารจะอยู่ในฝั่งไทยแต่พอแบ่งตามแผนที่ใหม่ของปี 1907จะอยู่ในฝั่งกัมพูชา) อาจจะเป็นเพราะฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอยู่ในขณะนั้น และคนไทยก็ยังสามารถเข้าไปยังปราสาทเขาพระวิหารได้โดยง่าย  

          ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะตามสนธิสัญญาเดิม พ.ศ.2447 หรือตามสภาพภูมิศาสตร์ กำหนดให้อยู่ในดินแดนของไทยอย่างชัดเจน จนวันที่ 6 ตุลาคม 2502 รัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ภายใต้การหนุนหลังของฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขอให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารคืน (ยื่นฟ้องทั้งหมด 73 ครั้ง) ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง โดยบริเวณดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ 


ลักษณะสำคัญของปราสาทเขาพระวิหาร
          1. บันไดดินด้านหน้าของปราสาท ซึ่งบันไดดินด้านหน้าเป็นทางเดินขึ้นลงขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศเหนือของตัวปราสาท ลาดตามไหล่เขา บางชั้นสกัดหินลงไปในภูเขา มีขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 75.50 เมตร มีจำนวน162 ขั้น สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งเป็นกระพัก (กระพักแปลว่า ไหล่เขาเป็นชั้นพอพักได้) ขนาดใหญ่เรียงรายขึ้นไป ใช้สำหรับตั้งรูปสิงห์ทวาร-บาล (ทะ-วา-ละ-บาน) เพื่อเฝ้าดูแลรักษาเส้นทาง 

         2. สะพานนาคราช หรือ ลานนาคราช อยู่ทางทิศใต้ของบันไดหินด้านหน้า ปูด้วยแผ่นหินเรียบ มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 31.80 เมตร สองข้างสะพานนาคราชสร้างเป็นฐานเตี้ยๆ บนฐานมีนาคราช 7 เศียร จำนวน 2 ตัว แผ่พังพานหันหน้าไปทางทิศเหนือ ลำตัวอยู่บนฐานทั้งสอง ทอดไปทางทิศใต้ ส่วนหางของนาคราชชูขึ้นเล็กน้อย นาคราชทั้งสองตัวเป็นนาคราชที่ยังไม่มีรัศมีเข้ามา ประกอบมีลักษณะคล้ายๆ งูตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของนาคราชในศิลปะขอม แบบปาปวน  

ลานนาคราช


          3. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 5 จะมีภาพวาดโดยปามังติเอร์อยู่ สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานบัวสี่เหลี่ยมย่อมุม ฐานสูง 1.8 เมตร บันไดหน้าประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศตั้งรูปสิงห์นั่ง เสาโคปุระสูง 3.5 เมตร เป็นศิลปะแบบเกาะแกร์ ยังมีร่องรอยสีแดงที่เคยประดับตกแต่งตัวปราสาทเอาไว้ แต่ส่วนหลังคากระเบื้องนั้นหายไปหมดแล้ว บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 5 อยู่ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน ทางทิศตะวันออกของโคปุระชั้นที่ 5 มีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอน ยาว 340 เมตรถึงไหล่เขา 

          4. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 4(ปราสาทหลังที่ 2) จะภาพของการกวนเกษียณสมุทร ณ เขาพระวิหาร ถือเป็น "หนึ่งในผลงานชิ้นเอกอุของปราสาทเขาพระวิหาร" ทับหลังเป็นภาพของพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนืออนันตนาคราช ซึ่งทางดำเนินจากโคปุระ ชั้นที่ 5 มาเป็นลานหินกว้างประมาณ 7 เมตร สองข้างจะมีเสานางเรียงตั้งอยู่ทั้งสองด้าน แต่ก็มีปรักหักพังไปมาก โคปุระชั้นที่ 4 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียว ยาว 39 เมตรจากตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 29.5 เมตร จากเหนือไปใต้ เป็นศิลปะสมัยหลังโคปุระ ชั้นที่ 5 คือ แคลง/บาปวน ด้านนอกตั้งรูปสิงห์ หน้าบันเป็นภาพของการกวนเกษียณสมุทร 

          5. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 3 (ปราสาทหลังที่ 1) เป็นโคปุระหลังที่ใหญ่โตมโหฬารที่ยังสมบูรณ์ที่สุด ลักษณะการสร้างคล้ายกับ โคปุระ ชั้นที่ 1 และ 2 แต่ผิดตรงที่มีฝาผนังกั้นล้อมรอบความใหญ่โตมากกว่า และขนาบด้วยห้องสองห้อง ตัวปราสาทประธานนั้นสามารถผ่านเข้าไปทางลานด้านหน้า บันไดกว้าง 3.6 เมตร สูง 6 เมตร สองข้างมีฐานตั้งรูปสิงห์นั่ง 5 กระพัก มุขเหนือหน้าบันเป็นรูปพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ ทับหลังเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กรทรงครุฑ และจากโคปุระชั้นที่ 3 มีบันได 7 ขั้นขึ้นไปสู่ถนนที่ยาว 34 เมตร มีเสานางเรียงปักรายข้างถนน ข้างละ 9 ต้น ถัดจากเสานางเรียงไปเป็นสะพานนาค 7 เศียร

         6. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 2 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียวอยู่บนไหล่เขาทางทิศเหนือของโคปุระชั้นที่ 2 บริเวณพื้นราบของเส้นทางดำเนินและสองข้างทางขึ้นลงของบันได จะพบรอยสกัดลงในพื้นศิลามีลักษณะเป็นหลุมกลมๆ สำหรับใส่เสาเพื่อทำเป็นปะรำพิธี โดยมีประธานในพิธีนั่งอยู่ในปะรำพิธีเพื่อดูการร่ายรำบนเส้นทางดำเนิน กรอบประตูห้องมีจารึกอักษรขอมระบุบปีศักราชตกอยู่ในสมัยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 1 ด้านหน้ามนเทียรมีบันไดตรงกับประตูซุ้มทั้ง 3 ประตู และมีชานต่อไปยังเฉลียงซ้ายและขวา ที่สนามด้านหน้ามีภาพจำหลักตกหล่นอยู่หลายชิ้น เช่น รูปกษัตริย์กำลังหลั่งน้ำทักษิโณฑกแก่พราหมณ์ 

         7. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 1 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม-ย่อมุม บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 1 ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าการที่จะเข้าเฝ้าเทพนั้น จะไปด้วยอาการเคารพนพนอบในลักษณะหมอบคลานเข้าไป ทางทิศตะวันออกมีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอนเป็นเส้นทางขึ้นลง ไปสู่ประเทศกัมพูชา เรียกว่า "ช่องบันไดหัก"

          8. สระสรง จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางดำเนินห่างออกไป 12.40 เมตร จะพบสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 16.8 เมตร ยาว 37.80 เมตร กรุด้วยท่อนหินเป็นชั้นๆ มีลักษณะเป็นขั้นบันได เรียกว่าสระสรงกล่าวกันว่าใช้สำหรับเป็นที่ชำระร่างกายก่อนที่จะกระทำพิธีทางศาสนา

เป้ยตาดี


          9. เป้ยตาดี เป้ยเป็นภาษาเขมร ซึ่งแปลว่า ชะง่อนผาหรือโพงผา ตามคำบอกเล่าว่านานมาแล้วมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งชื่อ "ดี" จาริกมาปลูกเพิงพำนักอยู่ที่นี่จนมรณภาพไป ชาวบ้านจึงเรียกลานหินนี้ว่า "เป้ยตาดี" ซึ่งบริเวณตรงยอดเป้ยตาดีสูงกว่าระดับน้ำทะเล 657 เมตร ถ้าวัดจากพื้นที่เชิงเขาพื้นราบฝั่งประเทศกัมพูชาสูงประมาณ 447 เมตร ตรงชะง่อนผาเป้ยตาดี จะมีรอยสักพระหัตย์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ว่า 118-สรรพสิทธิ แต่ก่อนมีธงไตรรงค์ของไทยอยู่ที่บริเวณผาเป้ยตาดี ในปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานไตรรงค์ 


          ปราสาทเขาพระวิหารนับได้ว่าเป็นปราสาทขอมที่สำคัญแห่งหนึ่ง ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์การก่อสร้างเทวสถานของฮินดู และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งของไทยและกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร มีเนื้อที่ 81,250 ไร่ และได้ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย